Saturday, June 6, 2015

ประโยค (Sentence) คือข้อความที่เอ่ยมาแล้วเข้าใจได้กระจ่างชัดว่า ประธาน แสดง กริยา อะไร เมื่อใด ถ้ากริยานั้นต้องมีกรรม (Transitive Verb) ก็ต้องมีกรรมระบุในประโยคด้วย เช่น
  • เขา เดิน
    He walked
เขา เป็นประธาน (Subject)
เดิน เป็นกริยาไม่ต้องการกรรม (Intransitive Verb) เป็นอดีตกาล (Past tense)
  • เรา กิน มันฝรั่ง
    We eat potatoes
เรา เป็นประธาน (Subject)
กิน เป็นกริยาต้องมีกรรม (Transitive Verb) เป็นปัจจุบันกาล (Present Tense)
ทั้ง ประโยคข้างต้นนี้ มีประธานเป็นผู้กระทำทั้งสิ้น (แต่จะอยู่ในรูป tense อย่างใด ก็สุดแท้แต่เวลาที่ต้องการบ่งชี้) เราเรียกโครงสร้างของประโยคชนิดนี้ว่า กรรตุวาจก (Active Voice) ลองสังเกตประโยคต่อไปนี้ดูบ้าง
  • Mangoes are eaten
    มะม่วง ถูกกิน
มะม่วง เป็นประธาน (Subject)
ถูกกิน เป็นกริยา (Present Tense)
ประธานของประโยคคือ Apples ไม่ได้ทำกริยา กิน แต่ในทางตรงกันข้าม ประธานกลับเป็นฝ่ายถูกกระทำ
  • The letter was read yesterday
    จดหมาย ถูกอ่าน เมื่อวานนี้
จดหมาย เป็นประธาน (Subject)
ถูกอ่าน เป็นกริยา (Past Tense)
ในทำนองเดียวกันกับประโยคแรก จดหมายซึ่งเป็นประธานของประโยคไม่ได้ เป็นผู้อ่าน แต่กลับเป็นสิ่งที่ถูกอ่านโดยประธาน ทั้ง ประโยคหลังนี้ มีประธานเป็นผู้ถูกกระทำ โครงสร้างเช่นนี้เรียกว่า กรรมวาจก (Passive Voice)
วิธีการแปลประโยค passive ให้เป็นภาษาไทย
สำหรับโครงสร้างแบบ Passive Voice จะแปลว่า ถูกกระทำ เป็นส่วนใหญ่ แต่บางครั้งแปลว่า ได้รับการกระทำนั้น ดูจะเหมาะกว่า เช่น
  • He was punished by his teacher a few days ago.
    เขาถูกลงโทษ โดยครูของเขาเมื่อ 2 - 3 วันก่อน
  • The articles were read by most students.
    บทความถูกอ่าน โดยนักเรียนส่วนใหญ่
  • The most valuable ring was stolen . (by someone)
    แหวนวงที่มีราคามากที่สุดถูกขโมย ไป (ไม่ต้องระบุผู้กระทำเพราะไม่รู้แน่ชัด)
แต่
  • He was loved by his friends.
    เขาได้รับความรักจากเพื่อน ๆ ของเขา (เราไม่พูดว่า เขาถูกรัก)
  • Mrs. Brown was promoted . (by someone)
    นางบราวน์ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง (ไม่ได้ระบุว่าโดยใคร แต่น่าจะสันนิษฐานได้เองว่าจากผู้มีตำแหน่งสูงกว่าตัวบางบราวน์เอง)
  • The man was named . The Greatest Inventor (by someone)
    ผู้ชายคนนั้นได้รับกาขนานนามว่าเป็น นักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ (น่าจะเป็นจากคนที่พิจารณาเรื่องนี้ หรืออาจจากคนทั่ว ๆ ไปก็ได้)
วิธีเปลี่ยนประโยค active ให้เป็นประโยค passive ใน tense และ กริยาช่วย Modalต่างๆ
ในลำดับต่อไปนี้ก็มาถึงจุดสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ไม่ว่าในประโยคหนึ่ง ๆ นั้น
1. ประธานจะเป็นผู้กระทำ หรือถูกกระทำ
2. จะระบุผู้กระทำ (by someone) หรือไม่ก็ตาม
โครงสร้างแบบ Passive Voice ก็ต้องระบุกาลเวลาของกริยา (tense) ด้วยเหมือนกับในประโยคภาษาอังกฤษทั่ว ๆ ไป
  • รูปของ Active Voice คือ S + V
  • รูปของ Passive Voice คือ S + V to be + V.3
โครงสร้าง Verb to be + V.3 (Past Participle) จะไม่เป็นปัญหาเลยถ้า
1. นักเรียนสามารถท่องจำกริยาช่องที่ ได้
2. นักเรียนรู้หลักการกระจาย Verb to be ไปตาม Tense ต่างๆ
แต่เหนืออื่นใด เวลาจะใช้ประโยคภาษาอังกฤษ ขอให้นักเรียนถามตนเองซ้ำหลายๆ ครั้งก่อนว่า ประธานในประโยคเป็นผู้กระทำ หรือเป็นผู้ถูกกระทำกันแน่ เมื่อยืนยันกับตนเองได้ว่าประธานเป็นผู้ถูกกระทำอย่างแน่นอน จึงค่อยผูกประโยคตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 
วางประธานไว้หน้าประโยค เช่น
A boy
The desk
ปรับคำกริยาให้เป็น V.3 เช่น laughed , written , eaten , punished , done , caughtโดยใช้คำเหล่านี้อยู่หลัง V. to be
กระจายรูป Verb to be ไปตาม Tense ที่ควรจะเป็นและวางหน้ากริยา Past participle
ถ้ากริยาในประโยคเป็นกริยาช่วย (Auxliary Verbs) ต่าง ๆ ก็เพียงแต่นำ be และ Past participle มาวางต่อข้างท้าย ดังนี้คือ
เช่น
The office ought to be opened .
English can be spoken by any Singaporean.
The rules have to be observed .


ตารางการกระจายกริยาแบบ Passive Voice (กรรมวาจก)ใน Tense (กาล) ต่างๆ
Tenses
V. to be
Past Participles
Present Simple
is, am, are
Thai is spoken in Thailand.
spoken
Present Continuous
is, am, are + being
He is being punished now.
punished
Present Perfect
has, have + been
The new building has been planned.
planned
Present Perfect Continuous
had, have + been + V.ing
The game has been being played for 2 hours.
played
Past Simple
was, were
Our house was painted last year.
painted
Past Continuous
was, were + being
When I arrived, the last guest speaker was being introduced.
introduced
Past Perfect had been
The work had been done before we got up.
done
*Past Perfect Continuous had been + being
When I knew him, he had been being trained for 2 years.
trained
Future Simple
will + be
He will be caught be the police some day.
caught
Future Simple
is, am, are + going to + be
The news is going to be published soon.
published
*Future Continuous
will be + being
At 10 o'clock tomorrow, he will be being questioned.
questioned
Future Perfect
will have + been
By next June, the tests will have been completed.
completed
*Future Perfect Continuous
will have + been + being
By tomorrow, the experiment will have been being conducted for 5 hours.
conducted
ข้อสังเกต Tense ที่มีเครื่องหมาย * ทั้ง 4 tense ไม่เป็นที่นิยมใช้ เพราะยาวและเยิ่นเย้อมากเกินไป
ตารางการกระจายกริยาแบบ Passive Voice (กรรมวาจก) กับกริยาช่วย Modal ต่างๆ
Modal Verbs
V. to be
Past Participles
may,might
can, could
must, haveto
ought to
used to
etc.
+ be +
Past Participle
V3
ข้อควรระวังในการใช้รูปประโยคแบบ passive





a. ถ้าต้องการใช้ Passive Voice ในรูปประโยคคำถามที่มี Question Words ก็วาง Question Words ไว้หน้าประโยคเหมือนในรูป Active Voice ยกเว้นคำว่า Who ให้เปลี่ยนเป็น By Whom เช่น
What will I be taught by you?
-> What will you teach me?
Where was the kitten seen ?
->Were did (someone) see the kitten?
By whom can it be done ?
-> Who can do it?
b. ถ้าเป็นประโยคคำสั่งหรือประโยคคำถาม จะมีรูปเช่น
Let the bell be rung
มาจาก Ring the bell.
Let the boy not be blamed
มาจาก Don't blame the boy.
ข้อควรระวังในการใช้รูปประโยคแบบ passive
c. ถ้ารูปเดิมใน Active Voice มีกรรม ตัว (double objects) ก็สามารถใช้เป็นรูป Passive Voiceได้ แบบ เช่น
ตัวอย่างประโยคที่ 1
แบบที่ 
He was given some salt by the cook. (ใช้กรรมรองเป็นประธาน)
แบบที่ 
Some salt was given to him by the cook. (ใช้กรรมตรงเป็นประธาน)
Active Voice (ของ ประโยคข้างต้น) คือ The cook gave
ตัวอย่างประโยคที่ 2
แบบที่ 

We were shown the museum . (by someone)
แบบที่ 
The museum was shown to us . (by someone)
Active Voice (ของ ประโยคข้างต้น) คือ Someone showed
ข้อสังเกต ตามความนิยม จะใช้กรรมรอง (หมายถึงบุคคล) มาเป็นประธาน
d. ถ้าใน Active Voice มีรูปกริยาดังต่อไปนี้ think , consider , acknowledge , know , say , report , understand , claim , believe , fear , hope , feel , find เช่น
People think that we are flexible.
People know he is impulsive
ประโยคเช่นนี้สามารถใช้โครงสร้าง Passive ได้ แบบ คือ
แบบที่ 1 ใช้ it เป็นประธาน เช่น
It is thought that we are flexible.
It i s known he is impulsive
แบบที่ 2 เอาข้อความข้างหลังย้ายมาข้างหน้า และตามด้วย to be + adjective เช่น
We are thought to be flexible .
He is known to be impulsive
หมายเหตุ ถ้าใน Active Voice มี Infinitive without to ต้องเปลี่ยนเป็น Infinitive (ที่มี to) ในPassive Voice เว้นคำว่า let เช่น
Active Voice
Passive Voice
I watched him leave.
He was watched to leave.
They made us work hard
We were made to work hard
แต่
He let me go
I was let go

การเติม by




เราจะเติม by เพื่อแสดงว่าใครเป็นผู้ทำกริยานั้น เช่น
  • I was bitten by his dog .
    (ถ้าไม่ใส่ by his dog ก็ไม่รู้ว่าถูกกัดโดยอะไร)
  • The report was written by Tom .
    ถ้าไม่ใส่ by Tom ก็ไม่รู้ว่าใครเขียน รายงาน
แต่บางครั้ง ถ้าไม่ต้องการเน้นผู้กระทำ หรือผู้กระทำไม่สำคัญ ก็ไม่จำเป็นต้องระบุลงไป เช่น
  • English is spoken all over the world.
    (ไม่จำเป็นต้องต่อท้ายประโยคว่า by people )
  • My ring has been stolen .
    (ไม่จำเป็นต้องเติม by someone เข้าข้างท้ายประโยค)
  • The laws must be obeyed .
    (ไม่ต้องเติม by everyone ข้างท้าย)
  • Dinner is cooked .
    (ถ้าผู้กระทำเป็นคำสรรพนาม เช่น by her / him ก็ไม่จำเป็นต้องใส่เช่นกัน)
นอกจากนั้นไม่ใช่ Passive Voice ทุกประโยคที่ต้องใส่คำว่า by เสมอไป อาจใช้ at, in, of, with ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับลักษณะพิเศษของกริยานั้น เช่น
  • He was asked of a lot of questions by the police.
  • I am pleased at (with) your progress.
  • The workers were killed in the fire.
  • The hill is covered with snow.
  • การทำกริยาให้อยู่ในรูป Past Tense (กริยาช่อง 2)

    ในหน้านี้สอนการทำกริยาให้อยู่ในรูป Past Tense ทั้งกริยาที่เป็นไปตามกฎ และกริยาที่ไม่เป็นไปตามกฎซึ่งกริยาส่วนใหญ่ จะทำเป็นกริยาช่อง ได้ด้วยการเติม -ED ไว้ท้ายคำกริยานั้น แต่อย่างไรก็ตาม คำกริยาบางคำต้องปรับคำกริยานั้นเสียก่อน

    นี่คือตารางกฎการเติม -ED

    กริยาที่ลงท้ายด้วย
    การทำกริยาให้เป็นรูปอดีต
    ตัวอย่าง

    e
    เติม -D
    live - lived
    date - dated
    พยัญชนะ + y
    เปลี่ยน เป็น แล้วเติม -ED
    try - tried
    cry - cried
    สระหนึ่งตัว + พยัญชนะหนึ่งตัว (แต่ต้องไม่ใช่ หรือ y)
    เพิ่มพยัญชนะท้ายตัวนั้นเข้าไปอีกหนึ่งตัว แล้วเติม -ED
    tap - tapped
    commit - committed
    [อืนๆ]
    เติม -ED
    boil - boiled
    fill - filled
    hand - handed
    แม้ว่ากริยาส่วนใหญ่จะทำเป็นรูปอดีตได้ด้วยการเติม -ED แต่กริยาบางตัวก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น กริยาเหล่านั้นเรียกว่า กริยาที่ไม่เป็นไปตามกฎ (Irregular Verbs) ครูจะอธิบายรูปแบบที่สำคัญในการทำกริยาประเภทนี้ให้เป็นรูปอดีต แต่ต้องจำไว้ว่านี่ไม่ใช่กฎ เป็นเพียงรูปแบบที่พบบ่อยๆเท่านั้น กล่าวคือในที่สุดแล้วการจำ หรือการใช้อยู่เป็นประจำจะช่วยให้ทำกริยาให้เป็นอดีตได้อย่างคล่องแคล่ว

    ถ้าไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษอยู่เป็นประจำ ก็ให้ใช้วิธีการท่องจำคำกริยาเหล่านี้นะ ส่วนใครที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษอยู่เป็นประจำ อาจไม่ต้องท่องจำ

    คำกริยาที่ไม่เป็นไปตามกฎที่สำคัญ คำ

    กริยาที่สำคัญเหล่านั้นได้แก่ กริยา BE, HAVE, DO กริยา BE เป็นกริยาที่ยากที่สุดเพื่อรูปกริยาจะเปลี่ยนไปตามประธาน

    ประธาน
    คำกริยา

    I
    was
    You
    were
    He / she / it
    was
    We
    were
    They
    were
    กริยา HAVE และ DO

    คำกริยา
    คำกริยาในรูปอดีต

    have
    had
    do
    did
    คำกริยาที่ไม่เป็นไปตามกฎคำอื่นๆ

    คำกริยาที่ไม่เป็นไปตามกฎอาจจะแบ่งได้เป็น กลุ่ม

    ประเภท
    ตัวอย่าง

    คำกริยาที่ไม่เปลี่ยนรูป
    cut - cut
    hit - hit
    fit - fit
    คำกริยาที่เปลี่ยนรูปสระ
    get - got
    sit - sat
    drink - drank
    คำกริยาที่เปลี่ยนรูปไปเลย
    catch - caught
    bring - brought
    teach - taught

หลักการใช้คำกิริยาในภาษาอังกฤษ

(VERB)
โดย  อาจารย์นิวาต   สมฟอง

          ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจกับนักศึกษาก่อน  เรื่องการใช้คำกิริยาในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ  ซึ่งในปัจจุบันนี้นักศึกษาจะเห็นว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญอย่างยิ่งในการติดต่อสื่อสาร  ระหว่างกัน ยิ่งในยุคที่เรียกว่า ยุคการสื่อสารไร้พรมแดน หรือ Globalization คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า  ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก  ซึ่งอาจารย์ผู้เขียนเอง ได้กล่าวอยู่บ่อยครั้งว่า คนยุคใหม่ถ้าไม่รู้เรื่องภาษาอังกฤษเลย ก็ดูเหมือนว่าจะล้าสมัยเสียเหลือเกิน เพราะฉะนั้นหากนักศึกษามีความต้องการที่เข้าใย ( ต้องขอใช้คำว่า เข้าใจ ) นะครับ เพราะถ้าใช้คำว่า เก่ง ก็คงต้องใช้เวลาศึกษาหลายปีทีเดียว ดูเหมือนว่ามันเป็นอะไรที่ห่างไกลเหลือเกิน .
          นักศึกษาต้องถามตัวเองก่อนว่า เราเองมีความชอบหรือมีทัศนคติอย่างไรกับการเรียนภาษาอังกฤษ ?  ทำไม ต้องถามอย่างนั้น  ก็เพราะว่า อย่างน้อยเราจะได้รู้ถึงขีดความสามารถของตัวเอง หรือขอบเขตความต้องการของเราก่อน
          แต่รู้หรือไม่ครับ  มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริง  ที่สถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศเขาบังคับให้นักศึกษาได้เรียนกัน
          หากเราทำความเข้าใจและมีใจชอบหรือมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษแล้ว   ภาษาอังกฤษก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก   เพราะไม่มีอะไรที่ยากเกินความสามารถของผู้ต้องการใช้มันเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง
          การเรียนภาษาอังกฤษ  หากจะเปรียบกับการฝึกจักรยานมันก็เป็นสิ่งที่ยากตอนเริ่มฝึกใหม่ เท่านั้นเอง   อาจจะมีล้มลุกคลุกคลานบ้าง  ก็เป็นเรื่องธรรมดา  แต่ หากฝึกได้  บังคับทิศทางได้มันก็ไม่ยากอะไรเลย
          ในการศึกษาภาษาอังกฤษนั้น ในปัจจุบันยิ่งสะดวกสบาย  เนื่องจากว่ามีคู่มือมากมายหลายสำนักได้เขียนออกมา  ซึ่งเราสามารถนำมาประกอบการเรียนได้อย่างดีเลยที่เดียว
          อยากเก่งและเข้าใจภาษาอังกฤษเหมือนคนอื่นเขาหรือเปล่า ?
          ทีนี้อาจารย์ผู้เขียนจะได้แนะเคล็ดที่ไม่ลับให้กับเหล่านักศึกษา เมื่อเรียนกับอาจารย์แล้วรับรองว่าจะเข้าใจภาษาอังกฤษและรักมันมากยิ่งขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว  ลองติดตามกันดู
          หลักการง่าย ที่เราจะเข้าใจภาษาอังกฤษก็มีเพียงแค่ไม่กี่อย่าง  ไม่อยากบอกว่ามี 3 อย่างคือ  ประธาน + กิริยา + กรรม ( subject + verb + object )  เช่น 
The  students   go  to  school  by  the  bus.
มีหลายคนที่ไม่เข้าใจเลย  เนื่องจากไม่มีหลักในการจับ  เมื่อเห็นข้อความเป็นภาษาอังกฤษก็งง เป็นไก่ตาแตกเลย.
          จากตัวอย่างข้างต้นที่ได้ยกมานั้น  เราจะรู้ว่าประโยคนี้เขากล่าวถึงอะไรและหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไหน   เป็นอดีต  ปัจจุบัน หรือว่าอนาคต    ซึ่งในที่นี้เราจะใช้หลักการสังเกตจากคำกิริยานั่นเอง   จากประโยคที่ว่า   The  students  go  to  school  by  bus.  กิริยาในประโยคคือ  go  เป็นตัวบ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน  ทั้งนี้เพราะว่า กิริยาเป็นรูปปัจจุบัน

          ทีนี้เรามาทราบรายละเอียดกันเลยครับ

คำกิริยา
( VERB )
          Verb คือ  คำที่แสดงถึงอาการต่าง  หรือเหตุการณ์ต่าง ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงของเวลา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ  คำพูดที่แสดงถึงการกระทำของตัวประธานในประโยค หรือคำที่ทำหน้าที่ช่วยคำกิริยาด้วยกันนั่นเอง  กิริยาเป็นคำที่มีบทบาทที่สำคัญในแต่ละประโยค  ถ้าในประโยคนั้น ขาดคำกิริยา  ความหมายก็ไม่เกิดและไม่สามารถทราบถึงเหตุการณ์ต่าง ๆได้เลย หรือมีใจความที่ไม่สมบูรณ์
          คำกิริยาตามหน้าที่แบ่งออกเป็น  3 ประเภท คือ
1.  สกรรมกิริยา ( Transitive  Verb ) คือ คำกิริยาที่ต้องมีตัวกรรม หรือคำอื่นเข้ามารองรับความหมายจึงจะสมบูรณ์ เช่น The  boys  kick  football  in  the  field. หมายความว่า 
พวกเด็ก เตะฟุตบอลอยู่ที่สนามหญ้า  คำว่า kick   เป็นคำกิริยา บอกให้ทราบถึงเหตุการณ์ว่าในขณะนี้หรือปัจจุบันนี้เด็ก กำลังเล่นกันอยู่ ส่วนคำว่า football เป็นตัวกรรมหรือตัวที่ทำหน้าที่รองรับกิริยาให้มีความหมายสมบูรณ์ขึ้น เพราะถ้าใช้คำว่า kick คำเดียวความหมายไม่สมบูรณ์ ไม่รู้ว่าเตะอะไร นั่นเอง
          2. อกรรมกิริยา ( Intransitive  Verb )  คือ คำกิริยาที่ไม่ต้องมีตัวกรรมหรือคำอื่นมารองรับก็ได้ความหมายสมบูรณ์เช่น  The  dogs  run  in  the  field.  ประโยคนี้ไม่ต้องมีตัวกรรมมารองรับ ก็ได้ใจความสมบูรณ์ดี  ซึ่งคำว่า  run แปลว่า วิ่ง คงไม่ต้องถามว่าใช้อะไรวิ่งนะครับ
          3.  กิริยาช่วย (  Helping  Verb หรือ  Auxiliary  Verb ) คือ กิริยาที่มีหน้าที่ช่วยให้กิริยาด้วยกันมีความหมายดีขึ้น และยังมีหน้าที่ทำให้ตัวของมันเองมีความหมายที่สมบูรณ์ขึ้นได้ดีอีกด้วย  เช่น  She  studies  in  Lamp Tech  college .  Does  she  study  in  Lamp Tech College ?


วิธีใช้คำกิริยาในภาษาอังกฤษ
( HOW  TO USE  VERB  )
          คำกิริยาในภาษาอังกฤษตามหลักไวยากรณ์แบ่งออกเป็น 3 ช่อง เรียกว่า กิริยา 3 ช่อง ซึ่งแต่ละช่องก็บอกถึงเหตุการณ์ในแต่ละช่วงของเวลาได้อีกด้วย  ตามตัวอย่างในตาราง ต่อไปนี้

ช่องที่ 1
ช่องที่ 2
ช่องที่ 3
run
ran
run
see
saw
seen

กิริยาช่องที่ 1 ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
กิริยาช่องที่ 2 ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
กิริยาช่องที่ 3 ใช้กล่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงไปอย่างสมบูรณ์ทั้งในปัจจุบันและอดีต เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ส่วนสมบูรณ์ของกิริยา หรือ Complement  
          ***  ตามความเห็นของอาจารย์ผู้เขียนนะครับ  เปรียบคำกิริยาเหมือนกับผู้กำกับหนังหรือละคร  ตัวประธาน ก็เหมือนพระเอกหรือนางเอก ส่วนตัวกรรมก็เหมือนกับบทบาท ของนักแสดงทั้งหมด ที่ผู้กำกับต้องคอยป้อน ว่าจะให้สมบทบาทแค่ไหน หรือแสดงออกมาสมจริงอย่างไร.

คำกิริยามีวิธีใช้อยู่ 2 วิธี คือ

1.    ใช้เป็นกิริยาแท้ของประโยคที่มีตัวประธานเป็นบุรุษสรรพนาม
( ยกเว้นสรรพนามบุรุษที่ 3 )และตัวประธานที่เป็นพหุพจน์ เช่น
                   I
                   We               want  a  book.

                   You

                   they
          The  boys  want   some  books.
2.  ใช้เป็นคำแสดข้อความที่มี  to  นำหน้ากิริยา เช่น   to work , to  go ,  to run , to buy เป็นต้น
          ทั้งหมดทั้งสิ้นที่กล่าวมานั้นก็เป็นส่วนของคำกิริยา ซึ่งนักศึกษาสามารถทำความเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับนักศึกษา.
          กล่าวโดยสรุปแล้ว คำกิริยาที่ได้ยกมาพูดตั้งแต่ต้น สามารถสรุปได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ
1.    กิริยาแท้  ( Finite  Verb )
2.    กริยาช่วย  (Auxiliary  Verb )
ในส่วนของกิริยาช่วยนั้นอาจารย์ผู้เขียนเอง ขอกล่าวเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ซึ่งได้ผ่านหูผ่านตานักศึกษามาบ้างแล้ว  นั่นก็คือ
1.    Verb  to  be  ( is , am , are , was , were  )  แปลว่า เป็น,  อยู่ , คือ
2.    Verb  to  have ( has , have , had ) แปลว่า  มี
3.    Verb  to  do ( do , dose, did ) แปลว่า ทำ
โดยทั่วไปแล้วเราจะเห็นว่า คำกิริยา ก็จะเป็นตัวแปร หรือตัวช่วยที่สำคัญ ที่ช่วยให้เราได้รู้
ถึงคำอื่น ที่เกี่ยวข้องในแต่ละประโยค ที่เรียกว่า เหตุการณ์
          ก่อนที่จะยุติเรื่องการใช้คำกิริยาในภาษาอังกฤษ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างให้นักศึกษาดู เพื่อประกอบการทำความเข้าใจ  ขอเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือในชีวิตประจำวัน
          Manit  is  a  student  of  this  college. Every  day  he  gets up at  06.00 oclock and  then  he hurry takes a  shower, cleans his  shoes and  gets  dressed. His  house is near  the  college  about  4 kilometers , some  times when  it is  raining  he  is going  to  take  a motorcycle  with  his  friend.
          คำที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรสำดำนั้น  ล้วนแต่เป็นคำกิริยาทั้งสิ้น ซึ่งบ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน และยังบอกให้เราทราบว่าเป็นเหตุการณ์ในปัจจุบันอีกด้วย  ทั้งนี้สังเกตที่คำกิริยานั่นเอง
          หากนักศึกษาอยากเข้าใจให้มากขึ้นกว่านี้  นักศึกษาต้องพยายามอ่าน  พูด และเขียนให้เยอะ จะได้มีทักษะมากขึ้น และในที่สุดการใช้ภาษาอังกฤษก็เป็นสิ่งที่ง่าย
          และก่อนจาก ขอฝากข้อคิดไว้ว่า ไม่มีคำว่าแพ้  ในหมู่นักสู้
ความล้มเหลวของนักสู้  มิใช่อยู่ที่เคยพ่ายแพ้มาก่อน  แต่ อยู่ที่ไม่ยอมเริ่มต้นต่างหาก
         

เอกสารอ้างอิง

1.    ไวยากรณ์อังกฤษ  ฉบับช่วยจำ  ( English  Grammar )  โดย ดร.กรองแก้ว ฉายสภาวะธรรม
2.    คู่มือศึกษาไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ โดย ฝ่ายวิชาการภาคภาษาอังกฤษ สถาบัน OPINION
3.    standard   English  Grammar โดย อาจารย์สำราญ  คำยิ่ง ..6 ,..,C.P.E
4.    Advance  English  Grammar  โดย อาจารย์สำราญ  คำยิ่ง ..6 ,.. ,C.P.E

Subscribe to RSS Feed Follow me on Twitter!